เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ดังนั้น การตัดสินใจทำประกันรถยนต์เพื่อคุ้มครองความเสียหายทั้งรถยนต์ และชีวิตของผู้ขับขี่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่จะเดินหน้าเต็มกำลังไปซื้อประกันให้รถยนต์ ศรีสวัสดิ์อยากขอคั่นรายการสั้น ๆ ด้วยการพาเจ้าของรถยนต์ทุกคนไปดูถึง 5 ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจทำประกันรถยนต์ บอกเลยว่า อ่านจบครบ 5 ข้อนี้ ทุกคนจะสามารถเลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะกับความต้องการของตัวเองได้ทันที แล้วแต่ละข้อจะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย
1. พิจารณาอายุของรถยนต์
หลายคนอาจบอกว่าเจ้าของรถยนต์เป็นคนตัดสินใจเลือกทำประกันรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อายุของรถยนต์ต่างหากที่เป็นตัวชี้ชะตาว่าเราควรจะทำประกันรถยนต์แบบไหน ซึ่งโดยปกติแล้วยิ่งรถยนต์มีอายุมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีตัวเลือกน้อยลงเท่านั้น เช่น ประกันชั้น 1 ของบางบริษัทจะไม่อนุญาตให้รถยนต์ที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไปทำประกัน ในขณะที่บางบริษัทสามารถอนุโลมให้สูงถึง 10 ปี เป็นต้น
ดังนั้น หากใครที่มีรถยนต์อยู่แล้ว แต่กำลังมองหาประกันรถยนต์ใหม่ อย่าลืมดูอายุของรถยนต์และศึกษาเงื่อนไขของแต่ละบริษัทให้ดี เพราะในบางกรณีก็มีบริษัทรับทำประกันรถยนต์สำหรับรถอายุ 10 ปี แต่พอเข้าปีที่ 11 ก็การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข แต่ถ้าหากตอนนี้ใครกำลังจะถอยรถคันใหม่ ก็ควรวางแผนการเลือกซื้อประกันรถยนต์ไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะ หากเลือกประกันที่ไม่เหมาะกับรถตั้งแต่แรก ก็อาจเกิดปัญหาในระยะยาวได้
2. นิสัยการขับรถของตัวเอง
อายุรถยนต์ว่าสำคัญแล้ว แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ นิสัยในการขับรถยนต์ของตัวเรา เพราะไม่ว่าคุณจะออกรถยนต์ใหม่ หรือใช้รถยนต์คู่ใจคันเดิมมาหลายปี ก่อนจะซื้อประกันรถยนต์ทุกครั้ง อย่าลืมว่าบริษัทประกันจะทำการพิจารณาประวัติของเราด้วยกันถึง 3 ด้าน โดยจะประกอบไปด้วย
- ประวัติการเคลมกับประกัน
บริษัทประกันจะทำการเช็กว่าเราเคยเคลมประกันเกินจริงจนทำให้บริษัทประกันเสียหายหรือไม่
- ประวัติของผู้ขับขี่
ถ้าหากเราเป็นผู้ขับขี่ที่ขาดความระมัดระวังจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง หรือขับรถประมาทจนทำให้เกิดอุบัติเหตุเอง บริษัทประกันก็มีสิทธิ์ไม่ให้ผ่านการพิจารณาประกันรถยนต์ หรืออาจบอกเลิกประกันได้เช่นกัน
- ประวัติการเปลี่ยนบริษัทประกันบ่อย
พฤติกรรมเช่นนี้อาจแสดงถึงความไม่น่าเชื่อถือของผู้ขับขี่ทางใดทางหนึ่ง เช่น ผู้ขับขี่อาจมีพฤติกรรมการขับขี่ที่มีปัญหา หรืออาจมีปัญหากับบริษัทประกันรถยนต์หลายเจ้าจนทำให้มีการบอกเลิกประกัน เป็นต้น
3. เข้าใจเงื่อนไขประกันรถยนต์เบื้องต้น
ถ้าใครพิจารณาทั้งอายุรถยนต์ และนิสัยการขับรถยนต์ของตัวเองตามที่บอกไปแล้ว หากใครไม่อยากเสียเงินซ้ำซ้อนเวลาเกิดอุบัติเหตุล่ะก็ อย่าลืมทำความเข้าใจเงื่อนไขเบื้องต้นของประกันรถยนต์ให้ดี เพราะถ้าหากรู้ไม่เท่าทันเงื่อนไขเหล่านี้ อาจต้องเสียเงินหลายต่อ จนทำให้รู้สึกว่าประกันรถยนต์ที่คุณเลือกทำให้ความคุ้มครองไม่ครอบคลุม และไม่คุ้มค่าก็เป็นได้ โดยศรีสวัสดิ์จะขอแบ่งเงื่อนไขออกเป็น 3 ส่วนคร่าว ๆ ดังนี้
1. รู้จักค่าเสียหายส่วนแรกก่อน
- ค่าเสียหายส่วนแรกแบบบังคับจ่าย (Excess)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของรถยนต์ต้องจ่ายเองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี เช่น ไม่สามารถตามหาคู่กรณีได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม, การเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทของตัวเอง เช่น การชนฟุตบาต หรือรถยนต์คว่ำ เพราะขับรถเร็วในวันฝนตก เป็นต้น แต่ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่า เราไม่ผิด และสามารถระบุข้อมูลของคู่กรณีให้บริษัทประกันไปไล่เบี้ยได้ ผู้ทำประกันก็จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
- ค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจจ่าย (Deductible)
เป็นค่าเสียหายที่เราต้องจ่ายก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายผิด ซึ่งค่าใช้จ่ายนั้นจะแตกต่างกันไปตามเหตุการณ์และสภาพของอุบัติเหตุ ซึ่งในบางกรณี เราอาจจะได้การลดค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายรายปีได้ แต่หากเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด และสามารถพิสูจน์คู่กรณีได้ นอกจากจะไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแล้ว ผู้ทำประกันยังได้ส่วนลดเบี้ยประกันตามที่กรมธรรม์ระบุไว้ในประกันรถยนต์อีกด้วย
2. เช็กให้ชัวร์! ประกันที่สนใจคุ้มครองได้ขนาดไหน
หลายคนรู้ว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 นั้นสามารถให้การคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกอุบัติเหตุ รวมถึงยังสามารถคุ้มครองรถยนต์และชีวิตผู้ขับขี่ได้ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายที่สูงมากเช่นกัน ซึ่งหากใครมีงบประมาณไม่เพียงพอต่อประกันชั้น 1 ก็สามารถพิจารณาประกันชั้น 2+, 3+ และประกันชั้น 3 ตามมาได้
โดยประกันชั้น 2+ จะสามารถคุ้มครองได้เทียบเท่ากับประกันชั้น 1 แต่จะมีค่าเบี้ยประกันที่ถูกลง โดยประกันจะคุ้มครองทั้งรถยนต์ของเราและคู่กรณี รวมถึงยังคุ้มครองรถยนต์เมื่อเกิดเหตุต่าง ๆ ได้ เช่น ไฟไหม้ รถโดนขโมย หรือ หาย ซึ่งในบางกรมธรรม์ยังสามารถคุ้มครองอุบัติเหตุเกี่ยวกับภัยธรรมชาติได้อีกด้วย ส่วนประกันรถยนต์ชั้น 3+ นั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง สามารถทำได้กับรถยนต์ทุกรุ่น แต่ก็จะคุ้มครองในกรณีที่รถชนอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่จะจำกัดอายุรถที่ไม่เกิน 25 ปี แต่ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้นไหน แต่ละบริษัทประกันก็มีเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เจ้าของรถทุกคนอย่าลืมตรวจสอบกรมธรรม์และสอบถามกับบริษัทประกันรถยนต์หากเกิดข้อสงสัย จะได้เป็นการเคลียร์ให้ชัดเจนก่อนซื้อกันด้วย
หลายคนรู้ว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 นั้นสามารถให้การคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกอุบัติเหตุ รวมถึงยังสามารถคุ้มครองรถยนต์และชีวิตผู้ขับขี่ได้ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายที่สูงมากเช่นกัน ซึ่งหากใครมีงบประมาณไม่เพียงพอต่อประกันชั้น 1 ก็สามารถพิจารณาประกันชั้น 2+ และ 3+ ตามมาได้
3. ทุนประกันสมเหตุสมผลกับเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายไหม
ทุนประกันรถยนต์ พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นวงเงินที่บริษัทประกันจะจ่ายสูงสุดสำหรับค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเราในปีนั้น ๆ ซึ่งจะกำหนดและพิจารณาจากมูลค่าของรถยนต์ และโดยทั่วไปแล้ว รถใหม่จะได้ทุนประกันรถยนต์สูงถึง 80% ของราคารถ และทุนประกันจะลดลงเฉลี่ยปีละ 10% หรือตามราคากลางของรถยนต์
โดยทุนประกันรถยนต์นั้นจะส่งผลต่อเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายโดยตรง ซึ่งหากยิ่งทุนประกันแพง การคุ้มครองก็จะยิ่งสูง และเบี้ยประกันต่อปีก็จะยิ่งสูงเช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ เราก็ต้องกลับมาพิจารณาเงื่อนไขในกรมธรรม์ของประกันเพื่อเช็กอีกรอบว่า จริง ๆ แล้ว เรากำลังจ่ายทุนประกันที่สูงเกินความคุ้มครองหรือไม่ เช่น หากเบี้ยประกันสูง แต่มีเงื่อนไขการคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุม ประกันรถยนต์ตัวนั้น ๆ ก็อาจให้ความคุ้มครองได้ไม่คุ้มค่ากับความต้องการก็เป็นได้
4. เปรียบเทียบราคาโปรโมชั่น และส่วนลดต่างๆ ของประกันรถยนต์
และเมื่อรู้จักเงื่อนไขคร่าว ๆ แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาให้ทุกคนลองเปรียบเทียบประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งหากใครต้องการหาประกันสำหรับรถยนต์ที่ตรงใจมากที่สุด ศรีสวัสดิ์ขอแนะนำว่า ให้ลองเทียบราคากับหลาย ๆ เว็บไซต์ หรือกับโบรกเกอร์หลาย ๆ แห่ง เพราะ แต่ละโบรกเกอร์ เว็บไซต์ รวมถึงบริษัทนั้นจะมีดีลที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น หากใครอยากได้ประกันคุ้ม ๆ ก็ลองสละเวลามาหาและติดต่อเลือกแผนที่ใช่ในราคาที่คุณต้องการดู
5. อย่าเพิ่งรีบซื้อ! ดูศูนย์ซ่อมก่อน
แต่ไม่ว่าประกันรถยนต์จะมีดีลที่คุ้มค่ามากเพียงใด แต่หากอู่หรือศูนย์ซ่อมที่ระบุในประกันนั้นอยู่ไกลจากบ้านหรือที่ ๆ คุณมักใช้เวลาอยู่เป็นส่วนใหญ่ ก็จะทำให้ไม่สะดวกต่อการเคลม เจ้าของรถอาจจะต้องเสียทั้งเงินและเวลาในการเดินทางเพิ่มอีก ฉะนั้น เมื่อดูราคาและเงื่อนไขที่ชอบแล้ว อย่าลืมดูจำนวนศูนย์และอู่ซ่อมให้ดีว่า สะดวกในการเดินทางไปซ่อมหรือเคลมหรือเปล่า และที่สำคัญ อย่าลืมเช็กคุณภาพของอู่ซ่อมให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะในบางครั้งอู่ซ่อมที่อยู่เงื่อนไขประกันก็อาจเป็นศูนย์ซ่อมที่ไม่ได้คุณภาพ จนทำให้เราต้องเสียเงินเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้ในประกันรถยนต์ก็เป็นได้ ดังนั้น ถ้าไม่อยากเสียเงินหลายรอบ เช็กให้ชัวร์ก่อนจะดีที่สุด
จบลงไปแล้วกับ 5 ปัจจัยที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนเลือกซื้อประกันรถยนต์ หากใครกำลังมองหาประกันที่ใช่ ในราคาที่ชอบ อย่าลืมนำปัจจัยเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อเลือกประกันที่เหมาะกับเราด้วยนะ แต่ถ้าหากใครกำลังมองหาดีลประกันคุ้ม ๆ จากหลายบริษัทชั้นนำ ศรีสวัสดิ์มาพร้อมกับประกันรถยนต์หลากหลายแผนให้เจ้าของรถทุกคนได้เลือกสรรตามความต้องการ รับประกัน! คุ้มครองทันที รับกรมธรรม์ได้ภายในวัน ที่สำคัญ หากใครไม่มีเงินสดวางเต็มจำนวน ก็สามารถผ่อนสบาย ๆ 0% ได้นานสูงสุด 12 งวด ได้ทั้งบัตรเครดิตและเงินสด คุ้มและสะดวกขนาดนี้ หากใครอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ศรีสวัสดิ์สาขาใกล้บ้าน หรือ โทร 1652 แต่ถ้าหากต้องการข้อมูลแบบทันใจ คลิกที่นี่