น้อยคนจะรู้! เบี้ยประกันรถยนต์สำคัญมากกว่าที่คิด
เพราะการทำประกันรถยนต์ต้องเริ่มต้นที่ ‘เบี้ยประกันภัย’
ถึงการมีประกันสำหรับรถยนต์จะช่วยทำให้เจ้าของรถยนต์รู้สึกอุ่นใจขณะขับขี่เดินทาง แต่รู้หรือไม่? หากเราไม่วางแผนการทำประกันให้ดี และไม่รู้จักวิธีการพิจารณาเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับรถยนต์ ตลอดจนนิสัยการขับขี่ของเรา ไม่แน่ว่านอกจากจะเสี่ยงได้กรมธรรม์ที่ไม่เหมาะกับความต้องการแล้ว เจ้าของรถยนต์แบบเรา ๆ ยังมีสิทธิ์ที่จะต้องเสียค่าประกันที่แพงเกินความจำเป็น จนท้ายที่สุดอาจส่งผลให้หมุนเงินไม่ทันและกระทบต่อการส่งค่าเบี้ยประกันรถยนต์ได้
แต่ในวันนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป! เพราะศรีสวัสดิ์ขอชวนเจ้าของรถยนต์ทุกคนมารู้จักข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสร้างความอุ่นใจ เพราะเราจะพาไปรู้จักกับทุกรายละเอียดของเบี้ยประกันรถยนต์ พร้อมแนะนำเทคนิคการตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด แต่จะเป็นอย่างไรนั้น ตามศรีสวัสดิ์มาเลย
รู้จักเบี้ยประกันรถยนต์กันก่อน
สำหรับมือใหม่หัดขับ หรือคนที่เพิ่งออกรถยนต์คันแรกเป็นของตัวเองใหม่ ๆ คงอาจเคยได้ยินว่า การจะซื้อหรือต่อประกันแต่ละครั้งต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยพร้อมกัน ทั้งกรมธรรม์ ความคุ้มครอง ตลอดจนทุนประกันภัยที่บริษัทจัดเตรียมไว้ให้ แต่ไม่ว่าปัจจัยที่ต้องพิจารณาจะมีมากน้อยแค่ไหนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เบี้ยประกัน’ ต้องเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญแน่นอน
เบี้ยประกันคืออะไร?
แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเบี้ยประกันคืออะไรกันแน่ ศรีสวัสดิ์ขออธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า เบี้ยประกันสำหรับรถยนต์ หรือที่หลายคนเรียกว่าเบี้ยประกันภัย คือ เงินส่วนที่เจ้าของรถยนต์ หรือผู้เอาประกันต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันภัย ซึ่งแต่ละบริษัทจะให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ โดยเบี้ยประกันนั้นสามารถแยกย่อยออกได้อีกหลายประเภทตามเงื่อนไขของบริษัทประกัน เช่น เบี้ยประกันตามความคุ้มครองหลัก และเบี้ยประกันตามเอกสารแนบท้าย เป็นต้น
เบี้ยประกันมาจากไหน?
โดยส่วนใหญ่แล้ว บริษัทประกันภัยจะคิดเบี้ยประกันรถยนต์โดยใช้หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มีสูตรการคำนวณเฉพาะ ซึ่งแต่ละบริษัทนั้นจะมีหลักการคำนวณที่มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ดี เบี้ยประกันที่เราต้องจ่ายจะแตกต่างกันไปตามความคุ้มครองที่เลือก รวมถึงเงื่อนไขอื่น ๆ เช่นยี่ห้อ, รุ่น, อายุของรถยนต์ หรือ ประวัติการขับขี่ เป็นต้น
ครอบคลุมค่าใช้จ่ายใดบ้าง
เพราะการซื้อประกันสำหรับรถยนต์ คือ การซื้อความอุ่นใจ ในเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะนำเบี้ยประกันไปจัดการตามประเภทของประกันสำหรับรถยนต์ ตลอดจนความคุ้มครองที่เจ้าของรถยนต์ หรือผู้เอาประกันได้ตกลงไว้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้นไหนก็ตาม บริษัทประกันจะให้ความคุ้มครอง 4 ข้อ ประกอบไปด้วย
1. ความคุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
2. ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
3. ความคุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์
4. ความคุ้มครองต่อความสูญหาย และไฟไหม้
ซึ่งหากเจ้าของรถยนต์ หรือผู้เอาประกันคนไหนต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมทุกอุบัติเหตุ และค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่าง ‘ค่ารักษาพยาบาล’ ‘ค่าประกันตัวหากเกิดอุบัติเหตุ’ หรือ ‘ค่าชดเชยหากเกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี’ เพิ่มด้วย แน่นอนว่าค่าเบี้ยประกันที่เราต้องจ่ายก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
ศรีสวัสดิ์แอบบอก!
หลายคนอาจเข้าใจว่า ประกันสำหรับรถยนต์ที่มีเบี้ยประกันแพง ๆ นั้นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เพราะต้องเสียเงินไปฟรี ๆ กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาท หรือบางคนอาจคิดว่าเบี้ยที่สูง ๆ นั้นมีไว้สำหรับรถยนต์ใหม่ ๆ หรือมือใหม่หัดขับที่ยังไม่เชี่ยวชาญการขับขี่เท่านั้น
แต่รู้หรือไม่? ถึงประกันสำหรับรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองที่ครบครันต่อทุกอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจะมีราคาสูงมากแค่ไหน แต่แท้จริงแล้ว เจ้ารถยนต์อย่างเรา ๆ นั้นสามารถทำเรื่องลดเบี้ยค่าประกันรถยนต์ได้เมื่อถึงเวลาต่อประกัน หรือต้องเลือกประกันกับบริษัทใหม่ โดยทางบริษัทประกันจะพิจารณาจาก 4 ปัจจัย คือ อายุของผู้ขับขี่ (หากอายุยิ่งสูง ส่วนลดเบี้ยประกันก็ยิ่งสูงถึง 20%) ประวัติการเคลม (ยิ่งเคลมน้อย เกิดอุบัติเหตุน้อย ค่าเบี้ยปีต่อไปลดได้สูงถึง 20%) การซื้อค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) การซื้อประกันรถยนต์แบบกลุ่ม สำหรับคนมีรถยนต์หลาย ๆ คัน
ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ทุกคนจึงสามารถเลือกประกันที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกอุบัติเหตุที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการได้ตั้งแต่ประกันชั้น 1 ไปจนชั้น 3 โดยไม่ต้องกังวลใจว่าเบี้ยประกันจะไม่คุ้มค่ากับที่เสียไปเลย
|
สับสน! ทำไมเบี้ยประกันแต่ละปีถึงไม่เท่ากัน?
นอกจากเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ และประเภทของประกันที่เลือกซื้อแล้ว สาเหตุที่ทำให้เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายในแต่ละปีแตกต่างกันนั้นยังประกอบไปด้วย
1. เงื่อนไขของการจ่ายเบี้ยประกันที่แตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกัน
เช่น หากมีประวัติเคลมบ่อย เกิดอุบัติเหตุบ่อย ค่าเบี้ยประกันปีหน้าก็มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น
2. ยี่ห้ออายุและประเภทของรถยนต์
เช่น หากเป็นรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานที่นาน เบี้ยประกันก็อาจจะต่ำลงจากการเปลี่ยนแปลงแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองลดลงตามอายุรถยนต์ หรือหากรถยนต์ของเรามีราคาที่สูง ค่าเบี้ยประกันก็มีแนวโน้มว่าจะสูงเช่นกั
3. การมีส่วนช่วยป้องกันอุบัติเหตุ
เช่น การติดกล้องรถยนต์ทำให้เบี้ยประกันลดลง การจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเองเพื่อช่วยบริษัทประกันคุ้มครองรถยนต์ของเรา ตลอดจนการระบุชื่อผู้ขับขี่อย่างชัดเจนในกรมธรรม์เพื่อให้บริษัทประกันตามตัวได้เมื่อเกิดปัญหา
4. การกำหนดสถานที่ซ่อมรถยนต์
เช่น หากเลือกซ่อมรถยนต์กับอู่ก็จะมีค่าเบี้ยประกันถูกกว่าการซ่อมรถยนต์กับศูนย์ซ่อม
เป็นอย่างไรกันบ้าง หวังว่ารายละเอียดของเบี้ยประกันทั้งหมดนี้จะสามารถช่วยให้ทุกคนพิจารณาเลือกทำประกันสำหรับรถยนต์ให้ตรงกับแผนทางเงินที่วางไว้ สไตล์การขับขี่ ตลอดจนประเภท และการใช้รถยนต์ของตัวเองได้ แต่หากใครยังไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกเบี้ยประกันรถอย่างไรให้คุ้มค่า หรือควรวางแผนเลือกประกันอย่างไรให้ตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด ที่ “ศรีสวัสดิ์” โบรกเกอร์ประกันของเราพร้อมให้คำปรึกษา และหาทางออกในทุกความต้องการเรื่องประกันรถยนต์ทันที เจ้าของรถยนต์ทุกคนสามารถติดต่อสอบถามทุกข้อสงสัยได้ที่ 1652